
ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท คอยรักษาจิตของตน
จงถอนตนขึ้นจากหล่ม เหมือนช้างที่ตกหล่มถอนตนขึ้นฉะนั้น

คนที่นึกถึงพระนิพพาน พึงครอบงำ ความหลับ ความเกียจคร้าน ความท้อแท้,
ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พึงตั้งอยู่ในความทะนงตัว


นตฺถิ ตณฺหาสมา นที.
แม่น้ำเสมอด้วยตัณหา ไม่มี

วาริโชว ถเล ขิตฺโต โอกโมกตอุพฺภโต ปริผนฺทติทํ จิตฺตํ มารเธยฺยํ ปหาตเว.
จิตนี้ถูกยกขึ้นจากอาลัย คือกามคุณ เพื่อละที่ตั้งแห่งมาร
ย่อมดิ้นรน เหมือนปลาถูกจับขึ้นจากน้ำโยนไปบนบกฉะนั้น

ใครตักเตือนก็โกรธ เย่อหยิ่ง ถือดีว่า ฉันเก่ง ฉันดี
คนอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจของ กาฬกิณี -พุทธภาษิต

ภิยฺโย จ กาเม อภิปตฺถยนฺติ.
ผู้บริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิ่งขึ้นไป

กามทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีทุกข์มาก มีพิษมาก
ดังก้อนเหล็กที่ร้อนจัด เป็นต้นเค้าแห่งความคับแค้น มีทุกข์เป็นผล

นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ.
สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี


อิจฺฉา หิ อนนฺตโคจรา.
ความอยาก มีอารมณ์หาที่สุดมิได้เลย

ยสฺส นตฺถิ อิทํ เมติ ปเรสํ วาปิ กิญฺจนํ มมตฺตํ โส อสํวินฺทํ นตฺถิ เมติ น โสจติ.
ผู้ใดไม่มีกังวลว่านี้ของเรา นี้ของผู้อื่น ผู้นั้นเมื่อไม่ถือว่าเป็นของเรา จึงไม่เศร้าโศกว่าของเราไม่มี ดังนี้

ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา เอตํ ญตฺวา ยถาภูตํ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ.
ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง รู้ข้อนั้นตามเป็นจริงแล้ว ดับเสียได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง

โย จ ปปญฺจํ หิตฺวาน นิปฺปปญฺจปเท รโต อาราธยิ โส นิพิพานํ โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ.
ผู้ละปัญจธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ยินดีในธรรม ที่ไม่มีสิ่งทำให้เนิ่นช้า
ผู้นั้นก็บรรลุพระนิพพาน อันปลอดจากโยคะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า


ทุกฺขเมว หิ สมฺโภติ ทุกฺขํ ติฏฺฐติ เวติ จ นาญฺญตฺร ทุกฺขา สมฺโภติ นาญฺญตฺร ทุกฺขา นิรุชฺฌติ.
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ

ท่านทั้งหลายจงตัดป่า (กิเลส) อย่าตัดต้นไม้ ภัยย่อมเกิดจากป่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านจงตัดป่าและสิ่งที่ตั้งอยู่ในป่าแล้ว เป็นผู้ไม่มีป่าเถิด


คนมีปัญญาดีไม่ประมาทในเมื่อผู้อื่นประมาท มักตื่นในเมื่อผู้อื่นหลับ
ย่อมละทิ้งผู้ประมาท (คนโง่) เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว ทิ้งม้าไม่มีกำลังไปฉะนั้น

เมื่อรู้ว่าร่างกายนี้แตกดับง่ายเหมือนหม้อน้ำ
พึงป้องกันจิตให้มั่นเหมือนป้องกันเมืองหลวง
แล้วพึงรบกับพญามารด้วยอาวุธคือปัญญา - พุทธวจนะ



สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย.
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

รู้อย่างนี้แล้ว เมื่อมีฉันทะเกิดขึ้น คนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้หายไปเปล่า - พุทธภาษิต

สทุทฺทสํ สุนิปุณํ ยตฺถ กามนิปาตินํ.
จิตนั้นเห็นได้แสนยาก ละเอียดอ่อนยิ่งนัก มักตกไปหาอารมณ์ที่ใคร่

เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.
ผู้รู้จักควบคุมจิตใจ จะพ้นไปได้จากบ่วงของมาร

นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ.
ไฟเสมอด้วยราคะ ไม่มี

น ปรํ นาปิ อตฺตานํ วหึสติ สมาหิโต.
ผู้มีจิตใจตั้งมั่น ย่อมไม่เบียดเบียนคนอื่น และแม้ตนเอง

โกธํ ทเมน อุจฺฉินฺเท
พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ

มนสา สํวโร สาธุ.
การระมัดระวังใจ เป็นความดีประกาศจากบ้านจิตสบาย
แจ้งงดกิจกรรมการแสดงธรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2564
บ้านจิตสบายขอแจ้งงดกิจกรรมตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID -19 ให้มีประสิทธิภาพ หากมีความเปลี่ยนแปลงอื่นใดเพิ่มเติม บ้านจิตสบายจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ก่อนเริ่มจัดให้มีกิจกรรมครั้งต่อไป ทั้งนี้บ้านจิตสบายเปิดให้ใช้ศาลาไตรสิกขาและลานจงกรมเพื่อปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย แบบเช้าไป-เย็นกลับ ในเวลาทำการ 09.00-18.00น.อ่านเพิ่มเติม »
กิจกรรมบ้านจิตสบาย
งดกิจกรรม พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ด้วยสถานการณ์โควิด-19 มีการแพร่ระบาดมากขึ้น บ้านจิตสบายขอแจ้งงดกิจกรรมแสดงธรรมของ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล สำนักปฏิบัติธรรมสวนธรรมประสานสุข จ.ชลบุรี ในวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00-11.30 น.อ่านเพิ่มเติม »งดกิจกรรม อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง
ด้วยสถานการณ์โควิด-19 มีการแพร่ระบาดมากขึ้น บ้านจิตสบายขอแจ้งงดกิจกรรมการบรรยายธรรมของ อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง ในวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 เวลา 13.30-15.30 น.อ่านเพิ่มเติม »
วิดีโอบรรยายธรรม
สื่อธรรมะล่าสุด
สมถะหรือวิปัสสนาก่อน
ปัญหา การเจริญกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถะ และวิปัสสนา ใน ๒ อย่างนี้ จะเจริญสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน ? จะเจริญควบคู่กันไปจะได้หรือไม่ ? พระอานนท์ตอบว่า “....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป.... มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพเจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญกระทำให้มาก ซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด....” ปฏิปทาวรรค ที่ ๒ จ. อํ. (๑๗๐) ตบ. ๒๑ : ๒๑๒ ตท. ๒๑ : ๑๘๓-๑๘๔ ตอ. G.S. II : ๑๖๒ อ่านเพิ่มเติม »พระธรรมวินัยแท้และของปลอม
ปัญหา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายเหลือหลาย อาจจะมีคำสอนของศาสนาอื่นหรือคนอื่นแทรกแซงอยู่บ้าง เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อันไหนไม่ใช่ ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอุบาลี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า ธรรมเหล่านี้ไม่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว เธอพึงทรงธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่เป็นคำสั่งสอนของพระศาสนา ส่วนธรรมเหล่าใด.... เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว.... นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา” วินัยวรรค ส. อํ. (๘๐) ตบ.อ่านเพิ่มเติม »ทำไมอาสวะจึงไม่สิ้น
ปัญหา การบรรลุมรรคผล หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง รู้สึกว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากมาก เพราะเหตุไร ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร จะพึงกล่าวได้ว่าเพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญ - สติปัฏฐาน ๔ - สัมมัปปธาน ๔ - อิทธิบาท ๔ - อินทรีย์ ๕ - พละ ๕ - โพชฌงค์ ๗ - มรรคมีองค์ ๘ “เปรียบเหมือนแม่ไก่ มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี แม่ไก่นั้นแม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้อ่านเพิ่มเติม »ก้าวแรกในการปฏิบัติธรรม
ปัญหา ธรรมข้อไหนจำเป็นในการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ หิริและโอตตัปปะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์.. เมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู่ อินทรีย์สังวรชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ เมื่ออินทรีย์สังวรมีอยู่ ศีลชื่อว่ามีเหตุอันสมบูรณ์... เมื่อศีลมีอยู่ สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุอันสมบูรณ์ .... เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อวามีเหตุสมบูรณ์.... เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่ นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์.... เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุติญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุอันสมบูรณ์ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบสมบูรณ์ แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ฉะนั้น ฯ” สติสูตร อ. อํ. (๑๘๗) ตบ. ๒๓ : ๒๔๘-อ่านเพิ่มเติม »กายยังถาวรกว่าจิต
ปัญหา คนส่วนมากเข้าใจว่า ในคนเรามีจิต ซึ่งมั่นคงถาวรไม่รู้จักตาย แม้ร่างกายตายไปแล้ว จิตก็ยังอยู่ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้ ? พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนมิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่ถ้าจะเข้าไปยึดถือจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและในกลางวัน “ดูก่อนภิกษุทั้อ่านเพิ่มเติม »เวทนาของปุถุชน และอริยสาวก
ปัญหา ปุถุชนกับอริยสาวก เมื่อเสวยทุกขเวทนา มีอะไรแตกต่างกันบ้างหรือไม่ ? พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ อันทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมโศกเศร้า ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู พึงยิงบุรุษด้วยลูกศร ยิงซ้ำบุรุษนั้นด้วยลูกศรลูกที่สองอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศร ๒ อย่างคือ ทางกายและทางใจ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวกผู้เรียนรู้ แล้วอันทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่โศกเศร้า ไม่ร่ำไร รำพัน ไม่ทุบอก คร่ำครวญ เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่เสวยเวทนาทางใจ เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศร ยิงซ้ำบุรุษนั้นด้วยลูกศรดอกที่สองผิดไป ก็เมื่ออ่านเพิ่มเติม »ภาระหนักของมนุษย์
ปัญหา ภาระอันหนักของมนุษย์คืออะไร ? จะปลงลงได้อย่างไร ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ คือ ภาระ อุปาทานขันธ์ ๕ คืออะไร ? คือ รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นี้เรียกว่า ภาระ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้แบกภาระคือใคร ? ผู้แบกภาระ คือ บุคคล... ที่มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ นี่เรียกว่า ผู้แบกภาระ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปกรณ์สำหรับแบกภาระคืออะไร ? ตัณหาที่นำไปเกิดในภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดยินดี ทำให้หลงเพลิดเพลินในภพนั้น ๆ กล่าวคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหานี้ เรียกว่า อุปกรณ์ เครื่องแบกภาระ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การปลงภาระคืออย่างไร ? คือการดับตัณหา สิ้นความกำหนัดอย่างสิ้นเชิง การสละทอดทิ้งหลุดพ้นจากตัณหาอย่างไม่มีเยื่อใยนี้ เรียอ่านเพิ่มเติม »เพลิดเพลินขันธ์ ๕ เพลิดเพลินทุกข์
ปัญหา คนเช่นใด มีโอกาสที่จะพ้นทุกข์มากกว่าคนอื่น ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเพลิดเพลิน รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ผู้นั้นชื่อว่าเพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดเพลิดเพลินทุกข์เรายืนยันว่าผู้นั้นไม่พ้นไปจากทุกข์ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดแลไม่เพลิดเพลินรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ผู้นั้นไม่เพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินทุกข์เรายืนยันว่าผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์ อภินันทนสูตร ขันธ. สํ. (๖๔-๖๕) ตบ. ๑๗ : ๓๙ ตท. ๑๗ : ๓๓-๓๔ ตอ. K.S. ๓ : ๓๐ อ่านเพิ่มเติม »เหตุเกิดและดับแห่งขันธ์ ๕
ปัญหา พระพุทธพจน์ที่ว่า ภิกษุมีจิตเป็นสมาธิแล้วย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง หมายความว่ารู้อะไร ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความจริงแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ? “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ย่อมเพลิดเพลินหลงใหล ดื่มด่ำอยู่ในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เมื่อเพลิดเพลินหลงใหล ดื่มด่ำอยู่ในรูป (เป็นต้น) ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้น ความยินดีพอใจในรูป (เป็นต้นนั้น) เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความขัดเคืออ่านเพิ่มเติม »สาระของพระพุทธโอวาท
ปัญหา ถ้ามีคนถามเราว่าพระศาสดาของท่านมีวาทะอย่างไร ตรัสสอนอย่างไร จะตอบว่าอย่างไรจึงจะถูกต้อง ? พระสารีบุตรตอบ “.....ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า... พระศาสดาของเราตรัสสอนให้กำจัดความยินดีและความใคร่... ความยินดีและความใคร่ในอะไร ? ความยินดีและความใคร่ในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ.... ทรงเห็นโทษอะไรจึงตรัสสอนให้กำจัดความยินดีและความใคร่...เพราะว่า เมื่อบุคคลมีความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในรูป (เป็นต้น) ยังไม่หายขาด ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความขัดเคือง และความตรอมใจย่อมเกิดขึ้น... ในเมื่อรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ.... แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป” เทวทหสูตร ขันธ. สํ. (๖-๑๐) ตบ. ๑๗ : ๗-๑๑ ตท. ๑๗ : ๖-๙อ่านเพิ่มเติม »